เอ - ศักดา สรรพปัญญาวงศ์ CFP®
Co-Founder & CEO
ประวัติการศึกษา
ป.โท MBA การเงินและการบริหารการปฏิบัติการ (นิด้า)
ป.ตรี วิศวกรรมการผลิต (ม.พระจอมเกล้าพระนครเหนือ)
อาชีพหลัก ณ ปัจจุบัน
เจ้าของเว็บไซต์ A-Academy
วิทยากรอิสระด้านการเงิน
เหตุผลที่เข้าร่วมทีม Avenger Planner
ผมเริ่มรู้จักคำว่า "วางแผนการเงิน" ครั้งแรกเมื่อปี 2004 ในช่วงที่ค้นหาตัวเองผ่านการอ่าน การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดขึ้น ไปจนถึงการเบนเข็มจากที่เรียนวิศวะมาสู่ MBA เรียกได้ว่ามันเป็นความหลงไหลในศาสตร์นี้แบบถอนตัวไม่ขึ้น
มีโอกาสได้นำมาใช้กับตัวเอง จากวันที่แผนยังเป็นเพียงแค่กระดาษกับไฟล์ Excel มันเป็นเหมือนจุดไข่ปลาสู่ชีวิตที่เราต้องการ ที่เพียงแค่รอเส้นทึบมาขีดทับ เพื่อทำให้ความฝันกลายเป็นความจริง ทุกๆ วันผมเฝ้าขีดเส้นทึบลงบนแผนการเงินของตัวเอง ตรงบ้าง เบี้ยวบ้าง ผ่านมาจนถึงวันนี้ที่หลายๆ อย่างในจินตนาการกลายเป็นความจริง มันได้เห็นพลังที่ยิ่งใหญ่ของการวางแผนการเงิน ซึ่งพาเรามาถึงชีวิตที่ดีในวันนี้ได้จริงๆ ผมเคยพยายามจะเป็นนักวางแผนการเงินอิสระตั้งแต่ยุคที่เรียนโทจบใหม่ๆ เพราะมั่นใจว่ามันจะเป็นอาชีพที่วิเศษสุด แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จากความรู้ที่ยังน้อย ขาดแนวทางที่ดี และที่สำคัญคือไม่มีเพื่อนร่วมเดินทางในเส้นทางที่เราตั้งใจจริงๆ เลย ทีมที่ผมได้เข้าไปอยู่ ก็เป็นทีมที่พยายามเรียกตัวเองว่า "ที่ปรึกษาการเงิน" แต่กลไกที่อยู่ข้างในนั้น มันก็มีแต่การขายประกัน ขายประกัน แล้วก็ขายประกัน ส่วนคำว่า "วางแผน" ก็มีไว้เป็นอุดมการณ์อันสวยหรู ทำจริงก็น้อยมาก เพราะทุกคนมีแรงกดดันคือต้องหารายได้มาเลี้ยงชีพ ผมเริ่มอึดอัดในสภาพที่เป็นอยู่ รู้สึกสกปรกใจเกือบทุกครั้งที่พยายามไปให้บริการใคร เพราะเรามีธงในใจว่าต้องขายประกันให้เขาให้ได้ สุดท้ายจึงล้มเลิก แล้วเบนเข็มเข้าสู่การทำงานประจำในสายงานที่เราคิดว่าใกล้เคียงกับสิ่งที่เราสนใจที่สุด นั่นคืองานที่ปรึกษาการลงทุนที่ บลจ.ทหารไทย ซึ่งผมได้พบกับ ดร.สมจินต์ ศรไพศาล ผู้ซึ่งสร้างและให้โอกาสกับผม ได้ทำอะไรหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนการเงิน แม้ที่ TMBAM จะไม่ได้ให้บริการวางแผนการเงินเพราะเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ระหว่างนั้นผมก็พยายามหาพื้นที่ให้ตัวเองได้ทำงานที่เกี่ยวกับวางแผนการเงิน แบบที่เรามีอิสระในการกำหนดทุกอย่างจริงๆ ทั้งการก่อตั้งตั้งเว็บไซต์ A-Academy ขึ้น ทั้งพยายามสอบ CFP ให้ผ่าน พยายามคลุกคลีอยู่ในสายงานนี้มาตลอด ระหว่างนั้นก็เฝ้ารอว่าจะมีใครสักคนที่ทำอาชีพ "นักวางแผนการเงินอิสระ" ได้สำเร็จในแบบที่เราคิดว่าใช่จริงๆ เพราะแม้ผมจะมีพื้นที่ของตัวเองแล้ว แต่ก็ยังมีความหวังอยากให้อาชีพนี้เกิดได้ในประเทศไทยอยู่เสมอ ด้วยการทำงานด้านนี้อย่างต่อเนื่อง ผมเองเริ่มเป็นที่รู้จัก เริ่มมีคนให้ความเชื่อถือ ที่น่าแปลกคือเริ่มได้รับการติดต่อจากพี่ๆ หลายท่าน ว่าอยากฟังความคิดเห็นผม เรื่องการทำบริษัทวางแผนการเงินอิสระ แรกๆ ผมดีใจมาก เพราะเชื่อว่าความเห็นของเราอาจจะเป็นประโยชน์ และทำให้อาชีพนี้เกิดได้ในไทยจริงๆ เสียที ผมไปพบกับพวกเขาด้วยความกระตือรือร้นบ่อยครั้ง แต่ก็ยังไม่เห็นสิ่งที่เราได้พูดไปเกิดขึ้นเสียที ช่วงหลังผมเริ่มชินชาค่อนไปทางเบื่อหน่าย ยิ่งมีคนมาบอกเราว่า ที่เขามาฟังความเห็นผมนั้น เขาไปพูดกันลับหลังว่า "ถ้าทำแบบที่เอเสนอ ก็ไม่ทันกิน" มันยิ่งกลายเป็นความอัดอั้นอยู่ข้างใน จนเกือบจะหมดหวังไปแล้ว ความหวังครั้งใหม่ของผม มันกลับเกิดขึ้นจากคู่สามี-ภรรยา Low Profile คู่หนึ่ง ซึ่งย้อนกลับไปหลายปี ฝ่ายสามีได้เข้ามาแนะนำตัวกับผมหลังห้องสัมมนาที่ผมไปบรรยายให้บริษัทประกันแห่งหนึ่งว่า "เขาตั้งใจจะทำงานวางแผนการเงินแบบที่เป็นการวางแผนจริงๆ ให้กับคนทั่วไป แบบที่ไม่เลือกเฉพาะคนรวย" ต่อหน้าเขา ผมได้พูดสนับสนุนให้กำลังใจไป แต่ยังคิดไม่ดีในใจว่า "มันยากนะ จะรอดได้เหรอ สุดท้ายก็คงเน้นขายประกันเหมือนคนอื่นๆ" แต่ผู้ชายคนนี้แปลก หลังจากเจอกันครั้งนั้นเขาก็หายไปเลย เราจะไม่เจอเขาในสื่อไหน เขาทำงานของเขาไปเงียบๆ แต่ทุก 2 ปี ก็จะนัดเจอผมครั้งหนึ่ง เพื่ออัพเดทความคืบหน้าในเส้นทางนักวางแผนการเงินอิสระของเขาให้ฟัง ผมได้เห็นพัฒนาการของเขา จากวันแรกๆ ที่ลองผิดลองถูก ไปจนถึงวันที่มีลูกค้าที่เค้าดูแลทะลุครึ่งพันคน และทรัพย์สินของลูกค้าภายใต้การแนะนำของครอบครัวนี้เข้าใกล้ครึ่งพันล้านบาท บอกตรงๆ ว่าผมทึ่ง (และแอบอิจฉานิดๆ) แต่ก็ยังไม่ได้คิดว่ามันจะเกี่ยวกับเส้นทางชีวิตของผมยังไง สามี-ภรรยาคู่นี้คือพี่อ้น (วิกรานต์) และ พี่ใหม่ (อภิญญา) ซึ่งร่วมก่อตั้งกลุ่ม Avenger Planner กับผม มันเกิดขึ้นแบบง่ายๆ เพียงเพราะพี่อ้นนัดเจอผมในเดือน ส.ค. 59 เพื่ออัพเดทความคืบหน้าให้ฟังเหมือนเคย และได้เปรยว่า งานวางแผนการเงินที่ทำอยู่ เริ่มถึงจุดอิ่มตัวจากจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจนใกล้เต็มกำลัง นอกจากนั้นทั้งสองยังกำลังลุยงานใหม่ด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งกำลังสนุกและไปได้ดี จนเกิดความเป็นห่วงว่าหากเป็นอะไรไป ใครจะดูแลูกค้าต่อได้ในแบบที่พวกเขาเคยดูแลมา จึงตั้งใจจะสร้างทีมงานขึ้นมาเผื่อรับช่วงงานต่อในอนาคต และไม่อยากให้ประสบการณ์และองค์ความรู้ที่ได้ทำงานวางแผนการเงินอิสระมาต้องสูญหายไป ฝั่งผมเองซึ่งกำลังรู้สึกอัดอั้นและเกือบจะหมดหวังกับวงการนี้ รู้สึกได้ว่านี่เป็น "เสียงเรียก (Calling)" ครั้งสำคัญ ว่าจะแค่ยืนดูและให้กำลังใจ หรือจะเอาพลังที่มีไปลุยด้วยเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ เพราะถ้าได้พลังจากฝั่งผมช่วยขับเคลื่อน สิ่งที่ฝันนี้มันน่าจะเกิดได้ง่ายขึ้น แต่มันก็ต้องแลกกับการออกจาก Comfort Zone ของผม งานเดิมชีวิตเดิมก็ดีอยู่แล้ว รายได้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ลูกก็กำลังจะคลอด ถ้าทำก็จะเหนื่อยและเบียดบังเวลาครอบครัวแน่ๆผมเก็บเรื่องนี้ไปครุ่นคิดไม่หยุดหย่อน ความคิดที่เกิดขึ้นคือ "ถ้าเฝ้าดูแล้วมันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเสียที มันถึงเวลาที่เราต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงนั้นให้เกิดขึ้นเองแล้วล่ะ" จากนั้นก็พยายามคิด Business Model ลองทำ Financial Projection รูปแบบต่างๆ ว่าถ้าจะสร้างทีมขึ้นมาทำงานในอุดมคติแบบที่เราอยากให้เป็นจริงๆ มันต้องทำแบบไหน ถึงจะทั้งได้งานที่ดี และทุกคนอยู่รอดได้ด้วย แต่มันคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก คือมันไม่ Feasible เลย จนต้องยกหูหาพี่อ้น ยังจำได้ถึงคำตอบที่ตอบกลับมาว่า "ถ้าใส่สมมติฐานเรื่องเงินแล้วมันไปไม่ได้ ลองเอาเรื่องเงินออกแล้วเพียงแค่ทำให้มันเกิดขึ้นก่อนค่อยคิดเรื่องเงินมั๊ย" จากประโยคนั้น มันกลายเป็นว่าพอเราเลิกเอาเงินเป็นตัวตั้ง แต่มุ่งไปที่การทำให้เกิดขึ้นก่อน มันกลับทำให้พวกเราคิดอะไรออกอีกหลายอย่าง กลุ่ม Avenger Planner ก็เริ่มเกิดขึ้นเป็นตัวเป็นตนตั้งแต่วันนั้นหากถามผมว่าเราจะไปกันถึงไหน ผมก็ยังตอบไม่ได้ เราได้แต่คิดว่าวันนี้เราทำอะไรได้ เราก็จะทำมันให้เต็มที่ก่อน ช่วยลุ้นและเป็นกำลังใจให้กับพวกเรานะครับ
ป.โท MBA การเงินและการบริหารการปฏิบัติการ (นิด้า)
ป.ตรี วิศวกรรมการผลิต (ม.พระจอมเกล้าพระนครเหนือ)
อาชีพหลัก ณ ปัจจุบัน
เจ้าของเว็บไซต์ A-Academy
วิทยากรอิสระด้านการเงิน
เหตุผลที่เข้าร่วมทีม Avenger Planner
ผมเริ่มรู้จักคำว่า "วางแผนการเงิน" ครั้งแรกเมื่อปี 2004 ในช่วงที่ค้นหาตัวเองผ่านการอ่าน การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดขึ้น ไปจนถึงการเบนเข็มจากที่เรียนวิศวะมาสู่ MBA เรียกได้ว่ามันเป็นความหลงไหลในศาสตร์นี้แบบถอนตัวไม่ขึ้น
มีโอกาสได้นำมาใช้กับตัวเอง จากวันที่แผนยังเป็นเพียงแค่กระดาษกับไฟล์ Excel มันเป็นเหมือนจุดไข่ปลาสู่ชีวิตที่เราต้องการ ที่เพียงแค่รอเส้นทึบมาขีดทับ เพื่อทำให้ความฝันกลายเป็นความจริง ทุกๆ วันผมเฝ้าขีดเส้นทึบลงบนแผนการเงินของตัวเอง ตรงบ้าง เบี้ยวบ้าง ผ่านมาจนถึงวันนี้ที่หลายๆ อย่างในจินตนาการกลายเป็นความจริง มันได้เห็นพลังที่ยิ่งใหญ่ของการวางแผนการเงิน ซึ่งพาเรามาถึงชีวิตที่ดีในวันนี้ได้จริงๆ ผมเคยพยายามจะเป็นนักวางแผนการเงินอิสระตั้งแต่ยุคที่เรียนโทจบใหม่ๆ เพราะมั่นใจว่ามันจะเป็นอาชีพที่วิเศษสุด แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จากความรู้ที่ยังน้อย ขาดแนวทางที่ดี และที่สำคัญคือไม่มีเพื่อนร่วมเดินทางในเส้นทางที่เราตั้งใจจริงๆ เลย ทีมที่ผมได้เข้าไปอยู่ ก็เป็นทีมที่พยายามเรียกตัวเองว่า "ที่ปรึกษาการเงิน" แต่กลไกที่อยู่ข้างในนั้น มันก็มีแต่การขายประกัน ขายประกัน แล้วก็ขายประกัน ส่วนคำว่า "วางแผน" ก็มีไว้เป็นอุดมการณ์อันสวยหรู ทำจริงก็น้อยมาก เพราะทุกคนมีแรงกดดันคือต้องหารายได้มาเลี้ยงชีพ ผมเริ่มอึดอัดในสภาพที่เป็นอยู่ รู้สึกสกปรกใจเกือบทุกครั้งที่พยายามไปให้บริการใคร เพราะเรามีธงในใจว่าต้องขายประกันให้เขาให้ได้ สุดท้ายจึงล้มเลิก แล้วเบนเข็มเข้าสู่การทำงานประจำในสายงานที่เราคิดว่าใกล้เคียงกับสิ่งที่เราสนใจที่สุด นั่นคืองานที่ปรึกษาการลงทุนที่ บลจ.ทหารไทย ซึ่งผมได้พบกับ ดร.สมจินต์ ศรไพศาล ผู้ซึ่งสร้างและให้โอกาสกับผม ได้ทำอะไรหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนการเงิน แม้ที่ TMBAM จะไม่ได้ให้บริการวางแผนการเงินเพราะเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ระหว่างนั้นผมก็พยายามหาพื้นที่ให้ตัวเองได้ทำงานที่เกี่ยวกับวางแผนการเงิน แบบที่เรามีอิสระในการกำหนดทุกอย่างจริงๆ ทั้งการก่อตั้งตั้งเว็บไซต์ A-Academy ขึ้น ทั้งพยายามสอบ CFP ให้ผ่าน พยายามคลุกคลีอยู่ในสายงานนี้มาตลอด ระหว่างนั้นก็เฝ้ารอว่าจะมีใครสักคนที่ทำอาชีพ "นักวางแผนการเงินอิสระ" ได้สำเร็จในแบบที่เราคิดว่าใช่จริงๆ เพราะแม้ผมจะมีพื้นที่ของตัวเองแล้ว แต่ก็ยังมีความหวังอยากให้อาชีพนี้เกิดได้ในประเทศไทยอยู่เสมอ ด้วยการทำงานด้านนี้อย่างต่อเนื่อง ผมเองเริ่มเป็นที่รู้จัก เริ่มมีคนให้ความเชื่อถือ ที่น่าแปลกคือเริ่มได้รับการติดต่อจากพี่ๆ หลายท่าน ว่าอยากฟังความคิดเห็นผม เรื่องการทำบริษัทวางแผนการเงินอิสระ แรกๆ ผมดีใจมาก เพราะเชื่อว่าความเห็นของเราอาจจะเป็นประโยชน์ และทำให้อาชีพนี้เกิดได้ในไทยจริงๆ เสียที ผมไปพบกับพวกเขาด้วยความกระตือรือร้นบ่อยครั้ง แต่ก็ยังไม่เห็นสิ่งที่เราได้พูดไปเกิดขึ้นเสียที ช่วงหลังผมเริ่มชินชาค่อนไปทางเบื่อหน่าย ยิ่งมีคนมาบอกเราว่า ที่เขามาฟังความเห็นผมนั้น เขาไปพูดกันลับหลังว่า "ถ้าทำแบบที่เอเสนอ ก็ไม่ทันกิน" มันยิ่งกลายเป็นความอัดอั้นอยู่ข้างใน จนเกือบจะหมดหวังไปแล้ว ความหวังครั้งใหม่ของผม มันกลับเกิดขึ้นจากคู่สามี-ภรรยา Low Profile คู่หนึ่ง ซึ่งย้อนกลับไปหลายปี ฝ่ายสามีได้เข้ามาแนะนำตัวกับผมหลังห้องสัมมนาที่ผมไปบรรยายให้บริษัทประกันแห่งหนึ่งว่า "เขาตั้งใจจะทำงานวางแผนการเงินแบบที่เป็นการวางแผนจริงๆ ให้กับคนทั่วไป แบบที่ไม่เลือกเฉพาะคนรวย" ต่อหน้าเขา ผมได้พูดสนับสนุนให้กำลังใจไป แต่ยังคิดไม่ดีในใจว่า "มันยากนะ จะรอดได้เหรอ สุดท้ายก็คงเน้นขายประกันเหมือนคนอื่นๆ" แต่ผู้ชายคนนี้แปลก หลังจากเจอกันครั้งนั้นเขาก็หายไปเลย เราจะไม่เจอเขาในสื่อไหน เขาทำงานของเขาไปเงียบๆ แต่ทุก 2 ปี ก็จะนัดเจอผมครั้งหนึ่ง เพื่ออัพเดทความคืบหน้าในเส้นทางนักวางแผนการเงินอิสระของเขาให้ฟัง ผมได้เห็นพัฒนาการของเขา จากวันแรกๆ ที่ลองผิดลองถูก ไปจนถึงวันที่มีลูกค้าที่เค้าดูแลทะลุครึ่งพันคน และทรัพย์สินของลูกค้าภายใต้การแนะนำของครอบครัวนี้เข้าใกล้ครึ่งพันล้านบาท บอกตรงๆ ว่าผมทึ่ง (และแอบอิจฉานิดๆ) แต่ก็ยังไม่ได้คิดว่ามันจะเกี่ยวกับเส้นทางชีวิตของผมยังไง สามี-ภรรยาคู่นี้คือพี่อ้น (วิกรานต์) และ พี่ใหม่ (อภิญญา) ซึ่งร่วมก่อตั้งกลุ่ม Avenger Planner กับผม มันเกิดขึ้นแบบง่ายๆ เพียงเพราะพี่อ้นนัดเจอผมในเดือน ส.ค. 59 เพื่ออัพเดทความคืบหน้าให้ฟังเหมือนเคย และได้เปรยว่า งานวางแผนการเงินที่ทำอยู่ เริ่มถึงจุดอิ่มตัวจากจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจนใกล้เต็มกำลัง นอกจากนั้นทั้งสองยังกำลังลุยงานใหม่ด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งกำลังสนุกและไปได้ดี จนเกิดความเป็นห่วงว่าหากเป็นอะไรไป ใครจะดูแลูกค้าต่อได้ในแบบที่พวกเขาเคยดูแลมา จึงตั้งใจจะสร้างทีมงานขึ้นมาเผื่อรับช่วงงานต่อในอนาคต และไม่อยากให้ประสบการณ์และองค์ความรู้ที่ได้ทำงานวางแผนการเงินอิสระมาต้องสูญหายไป ฝั่งผมเองซึ่งกำลังรู้สึกอัดอั้นและเกือบจะหมดหวังกับวงการนี้ รู้สึกได้ว่านี่เป็น "เสียงเรียก (Calling)" ครั้งสำคัญ ว่าจะแค่ยืนดูและให้กำลังใจ หรือจะเอาพลังที่มีไปลุยด้วยเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ เพราะถ้าได้พลังจากฝั่งผมช่วยขับเคลื่อน สิ่งที่ฝันนี้มันน่าจะเกิดได้ง่ายขึ้น แต่มันก็ต้องแลกกับการออกจาก Comfort Zone ของผม งานเดิมชีวิตเดิมก็ดีอยู่แล้ว รายได้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ลูกก็กำลังจะคลอด ถ้าทำก็จะเหนื่อยและเบียดบังเวลาครอบครัวแน่ๆผมเก็บเรื่องนี้ไปครุ่นคิดไม่หยุดหย่อน ความคิดที่เกิดขึ้นคือ "ถ้าเฝ้าดูแล้วมันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเสียที มันถึงเวลาที่เราต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงนั้นให้เกิดขึ้นเองแล้วล่ะ" จากนั้นก็พยายามคิด Business Model ลองทำ Financial Projection รูปแบบต่างๆ ว่าถ้าจะสร้างทีมขึ้นมาทำงานในอุดมคติแบบที่เราอยากให้เป็นจริงๆ มันต้องทำแบบไหน ถึงจะทั้งได้งานที่ดี และทุกคนอยู่รอดได้ด้วย แต่มันคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก คือมันไม่ Feasible เลย จนต้องยกหูหาพี่อ้น ยังจำได้ถึงคำตอบที่ตอบกลับมาว่า "ถ้าใส่สมมติฐานเรื่องเงินแล้วมันไปไม่ได้ ลองเอาเรื่องเงินออกแล้วเพียงแค่ทำให้มันเกิดขึ้นก่อนค่อยคิดเรื่องเงินมั๊ย" จากประโยคนั้น มันกลายเป็นว่าพอเราเลิกเอาเงินเป็นตัวตั้ง แต่มุ่งไปที่การทำให้เกิดขึ้นก่อน มันกลับทำให้พวกเราคิดอะไรออกอีกหลายอย่าง กลุ่ม Avenger Planner ก็เริ่มเกิดขึ้นเป็นตัวเป็นตนตั้งแต่วันนั้นหากถามผมว่าเราจะไปกันถึงไหน ผมก็ยังตอบไม่ได้ เราได้แต่คิดว่าวันนี้เราทำอะไรได้ เราก็จะทำมันให้เต็มที่ก่อน ช่วยลุ้นและเป็นกำลังใจให้กับพวกเรานะครับ