จัดการรายจ่ายอย่างไร… เมื่อรายได้ลดลง
21/04/20207 ข้อชวนคิด… ก่อนวางแผนเกษียณเร็ว
14/05/2020หากจะกล่าวถึงผู้บริหารสูงสุด หรือ CEO ระดับโลกในยุคปัจจุบัน หลายๆ ท่านคงจะนึกถึง
- Jeff Bezos – CEO ของบริษัท Amazon บริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ ในสหรัฐอเมริกา
- Mark Zuckerberg – CEO ของบริษัทโซเชียลมีเดียชื่อดังอย่าง Facebook Instagram และ WhatsApp
- Bernard Arnault – CEO ของบริษัท LVMH บริษัทสัญชาติฝรั่งเศสที่ถือครองแบรนด์หรูในหลากหลายอุตสาหกรรม หรือแม้แต่
- Warren Buffet – CEO ของบริษัท Berkshire Hathaway บริษัทโฮลดิ้งที่ถือครองบริษัทระดับโลกไว้อย่างมากมาย
แต่ถ้าหากย้อนเวลากลับไปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 หนึ่งในผู้บริหารระดับโลกที่หลายท่านนึกถึง คงจะหนีไม่พ้น ชายที่ชื่อว่า
แจ็ค เวลซ์ (Jack Welch)
รู้จักกับแจ็ค เวลซ์
แจ็ค เวลซ์ เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1935 ที่พีบอดี รัฐแมสซาชูเซตส์ (Peabody, Massachusetts) ประเทศสหรัฐอเมริกา
เขาเป็นลูกชายคนเดียวของ จอห์น ฟรานซิส เวลซ์ (คุณพ่อ) และ เกรซ เวลซ์ (คุณแม่)
พ่อของแจ็ค เป็นพนักงานเก็บตั๋วรถไฟ ทุกๆ เช้าพ่อจะต้องออกจากบ้านในเวลาตีห้า เพื่อไปทำงานที่สถานีรถไฟซาเล็ม โดยที่พ่อของเขามีหน้าที่เดินเก็บตั๋วรถไฟทั่วทั้งขบวนตลอดทั้งวัน โดยไม่มีวันหยุด
แม้ว่าพ่อของเขาจะเป็นเพียงแค่พนักงานเก็บตั๋วรถไฟ แต่ด้วยความขยันและความพยายามก็ทำให้พ่อของเขาสามารถรวบรวมเงินเก็บทั้งชีวิตเพื่อซื้อบ้านหลังใหม่ได้ในที่สุด
สิ่งเหล่านี้ จึงทำให้แจ็คบอกกับตัวเองว่า เมื่อโตขึ้นเขาจะต้องเข้าไปทำงานในบริษัทให้ได้ เพราะเห็นตัวอย่างความขยันจากพ่อของเขา
วัยเด็กของเขา
เมื่อตอนที่แจ็คอายุ 9 ขวบ พ่อได้ส่งเขาไปทำงานเป็น แคดดี้ ที่สนามกอล์ฟ เพราะพ่ออยากให้แจ็คได้รู้ว่า
“การที่จะได้เงินนั้นจะต้องทำงานเพื่อแลกมันมา”
โดยเขาจะได้รับเงินค่าจ้างวันละ 3 ดอลลาร์ เป็นค่าตอบแทน
ซึ่งการที่แจ็คได้ไปเป็นแคดดี้ที่สนามกอล์ฟ ทำให้เขาสามารถฝึกตีกอล์ฟได้ฟรี ในทุกๆ วันอาทิตย์ที่เป็นวันเตรียมสนามกอล์ฟ
และก็ทำให้เขาได้รู้ว่ากีฬากอล์ฟเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะผู้บริหารส่วนใหญ่จะใช้เวลาช่วงตีกอล์ฟนี้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางธุรกิจกัน
และเนื่องจากที่ครอบครัวของเขามีฐานะไม่ดีสักเท่าไร เขาจึงต้องหาเงินค่าขนมเองอยู่ตลอด
โดยเมื่อโตขึ้นมาหน่อย เขาก็ต้องส่งหนังสือพิมพ์ในตอนเช้า ช่วงปิดเทอมก็ต้องไปทำงานที่ไปรษณีย์ ทำงานเป็นพนักงานขายรองเท้า หรือแม้แต่การทำงานรับจ้างในบริษัทเคมีต่างๆ
ซึ่งดูเหมือนว่า ความขยัน และการได้ทำงานหลากหลายอย่าง จะทำให้เขามีประสบการณ์ และมีอนาคตที่สดใส เหนือเพื่อนคนอื่นๆ ในรุ่นเดียวกัน
แต่ชีวิตของเขาเองก็ไม่ได้ง่ายเช่นนั้น
ในวัยเด็ก แจ็คมักจะถูกเพื่อนๆ ล้อเรื่องการพูดติดอ่างอยู่เสมอ หลายคนมักคิดว่าเขาเป็นเด็กที่ไม่ปกติ
เวลาที่เขาสั่งแซนวิชทูน่าหนึ่งชิ้น พนักงานจะให้เขาสองชิ้นอยู่บ่อยๆ เพราะเขามักจะสั่งทูน่า (Tuna) อย่างตะกุกตะกักว่า ทู-ทูน่า (Two Tunas) จนพนักงานเข้าใจผิดว่าสั่งทูน่าสองชิ้น
แจ็คในขณะนั้น ทั้งอาย ทั้งไม่มั่นใจ ที่จะพูดต่อหน้าสาธารณชน แต่คนที่ทำให้เรื่องนี้มันแตกต่างออกไปก็คือ แม่ของเขา
แม่ของแจ็คพยายามชี้ให้เห็น ถึงข้อดีและข้อเสียของตัวเขาเอง โดยแม่ของเขาได้สอนเกี่ยวกับเรื่องการพูดติดอ่างไว้ว่า
เพราะว่าลูกเป็นเด็กที่ฉลาดมาก จึงพูดตะกุกตะกักแบบนี้ เด็กที่ฉลาดแบบลูก ลิ้นเลยทำงานไม่ทันกับหัวยังไงล่ะ
พอเขารู้สึกว่า การพูดติดอ่างไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย เขาก็เลยมีความมั่นใจอีกครั้ง จนถึงขนาดที่เพื่อนของเขาบอกว่า เขาเป็นคนที่พูดมากจนน่าปวดหัวที่สุด
อุปสรรคอีกอย่างหนึ่งในวัยเด็กของแจ็คก็คือรูปร่าง เพราะเขามีขนาดตัวที่เล็กกว่าเด็กปกติทั่วไป
แต่แม่ของเขาก็ช่วยสร้างความมั่นใจให้เขาได้เป็นอย่างดี จนทำให้แจ็คมีความโดดเด่นทางด้านกีฬา ไม่ว่าจะเป็นกีฬาฟุตบอล เบสบอล ไอซ์ฮอกกี้ ไปจนถึงกอล์ฟ
ยิ่งไปกว่านั้น แม่ยังได้สอนแจ็คในเรื่องของ คุณค่าของการแข่งขัน อีกด้วย โดยแม่ของเขาสอนว่า
ให้ยินดีในชัยชนะ แต่ถึงแม้ว่าจะล้มเหลวก็จะต้องยอมรับมันให้ได้เสมอ
สิ่งต่างๆ ที่แม่ของเขาได้สอนในวัยเด็ก เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของความเป็นผู้นำที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
เส้นทางการศึกษา
ในปี ค.ศ. 1957 แจ็คจบปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมเคมี ที่มหาวิทยาลัย แมสซาชูเซตส์ วิทยาเขตแอมเฮิสต์ (The University of Massachusetts at Amherst)
โดยสาเหตุหนึ่งที่เขาเลือกเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เพราะว่าเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐบาล ซึ่งมีค่าเทอมที่ไม่สูงมาก
และจากการที่แจ็คเป็นเด็กที่เรียนดี กีฬาเด่น จึงทำให้เขาได้รับทุน จากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ (The University of Illinois) ให้เข้าเรียนต่อจนจบชั้น ปริญญาเอก
จนกระทั่งปี ค.ศ. 1960 เขาก็ได้เข้าไปทำงานที่บริษัท General Electric (GE) โดยขณะนั้นเขาอายุประมาณ 25 ปี
สู่จุดสูงสุดของงานที่ General Electric
จากความขยันที่ได้จากพ่อ และความมั่นใจในตัวเองที่ได้จากแม่
ในที่สุดเขาก็สามารถไต่เต้าจากพนักงานเงินเดือนน้อยนิด จนได้เป็น CEO ของบริษัท General Electric ในขณะที่อายุเพียงแค่ 45 ปีเท่านั้น
ซึ่งเขาถือได้ว่าเป็น CEO ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของผู้บริหาร GE และยังดำรงตำแหน่งนี้ยาวนานถึง 20 ปี (ค.ศ.1981-2001)
ชีวิตของเขานั้น น่าจะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกๆ ท่านได้เป็นอย่างดี เพราะตัวเขานั้นไม่ได้มีความเพรียบพร้อมตั้งแต่แรก
- ทั้งเกิดในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย
- มีอุปสรรคบางอย่างติดตัวมาตั้งแต่เกิด
- ต้องทำงานหนักตั้งแต่ยังเด็ก
- ต้องอดทนต่อสู้ทุกอุปสรรค ที่ผ่านเข้ามา
จนสามารถไต่เต้าสู่การยอมรับ ของคนทั่วทั้งโลกได้
แต่บนเรื่องที่ดี… ก็ยังคงมีเรื่องที่ไม่ดีซ่อนอยู่
ดังเช่นเหรียญที่มี 2 ด้าน…
แจ็คไม่สามารถสอนลูกของเขาได้ เหมือนกับที่พ่อแม่ของเขาเคยสอนเขา เมื่อครั้งยังเยาว์วัย
เพราะเขาเป็นคนที่บ้างานมากจนไม่มีเวลาให้กับครอบครัว
เขาใช้ชีวิตอยู่แต่ที่บริษัท จึงทำให้ลูกได้รับการเลี้ยงดูโดย แคโรลีน (Carolyn Osburn) ซึ่งเป็นภรรยาคนแรกของเขาเพียงฝ่ายเดียว
ซึ่งแคโรลีน มักจะบ่นแจ็คเสมอว่า มัวแต่ให้เงินอย่างเดียว แต่ไม่เคยมีเวลาให้กับลูกเลย
สุดท้ายในปี ค.ศ. 1987 ทั้งคู่ก็จบชีวิตการแต่งงานที่อยู่กันอย่างยาวนานถึง 28 ปีลง
หลังจากนั้นแจ็คก็แต่งงานใหม่อีกครั้งกับ เจน บีสลีย์ (Jane Beasley) ซึ่งเป็นนักกฎหมาย ในปี ค.ศ.1989
แต่แล้วในปี ค.ศ. 2002 ทั้งคู่ก็ได้เลิกรากันอีก
วัยเกษียณกับความพยายามกลับสู่สมดุล
จากชีวิตการแต่งงานที่ล้มเหลวทั้ง 2 ครั้ง
เมื่อเขายุติบทบาทการเป็น CEO ของบริษัท General Electric
เขาจึงตั้งใจที่จะรักษาสมดุลของชีวิตระหว่าง “งาน” กับ “ครอบครัว” ให้มากยิ่งขึ้น
แต่ตัวแจ็คเองนั้น ก็รู้ดีว่าเขาเป็นคนที่ชอบทำงานอย่างมาก แม้ว่าจะเกษียณอายุแล้วแต่ก็ยังอยากที่จะทำงานอยู่
ในที่สุดเมื่อปี ค.ศ. 2003 เขาก็ได้พบกับ ซูซี่ (Suzy Wetlaufer) ภรรยาคนปัจจุบัน
ซึ่งก็ดูเหมือนว่าซูซี่นั้น ก็เป็นผู้หญิงที่รักและชื่นชอบการทำงานเช่นเดียวกันกับเขา
ในวัยเกษียณ เขาจึงได้ทำงานเขียน การบรรยาย และการให้คำปรึกษา ร่วมกับภรรยาที่บ้าน ไปพร้อมๆ กับการดูแลลูกๆ
ซูซี่เคยให้สัมภาษณ์ผ่าน CBS ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ ของสหรัฐอเมริกาว่า…
เราสองคนเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบ เพราะเราทั้งสองต่างหลงไหลในงาน งานที่เราทำร่วมกันมีแต่ความสนุก จนทำให้เราทั้งสองไม่สามารถหยุดงานได้เลย
บทสรุป
และแล้วในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2020 แจ็คก็ได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ ที่บ้านพักของเขา ในนิวยอร์ค
นับเป็นเวลากว่า 84 ปี ที่ชายผู้นี้ได้สร้างความเปลี่ยนแปลง ให้เกิดขึ้นอย่างมากมายกับโลกใบนี้
ชีวิตของเขา น่าจะเป็นบทเรียนให้กับพวกเราได้ว่า…
หลายๆ ครั้งในชีวิต เราไม่สามารถเลือกได้ว่า จะเกิดมาในครอบครัวแบบไหน จะมีร่างกายที่สมบูรณ์พร้อมหรือไม่
แต่ทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาให้เผชิญนั้น ล้วนแต่เป็นบทเรียน ล้วนแต่เป็นประสบการณ์ และเป็นสิ่งที่อาจจะมีประโยชน์สำหรับตัวของเราในอนาคต สักวันหนึ่งข้างหน้า
และเหนือสิ่งอื่นใด การแบ่งเวลาให้กับงาน ให้กับตนเอง และให้กับครอบครัวอย่างสมดุล ก็คือสิ่งที่สำคัญยิ่ง
เพราะบางที ครอบครัวของเรา อาจไม่ได้ต้องการ เงินทอง ชื่อเสียง ความสำเร็จ มากไปกว่า ความสุขที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว ก็เป็นได้
แหล่งอ้างอิง :
- หนังสือ วิชาเศรษฐี แต่งโดยพังฮยอนชอล แปลไทยโดย คุณวิทิยา จันทร์พันธ์
- Wikipedia : Jack Welch
- Reference for Business : Jack Welch
- Prime Mover of Business : Jack Welch by Capitalism Magazine
- The Meaning of Jack Welch’s Cave-In by Capitalism Magazine
- Jack Welch: ‘I Fell In Love’ by CBS News
Credit รูปภาพประกอบ :